Review : กล้อง Ricoh GR III หลังจากใช้งานมา 7 เดือน

เนื่องจากไม่ได้ออกไปถ่ายรูปที่ไหน เลยจะเอาของที่มีอยู่กลับมารีวิวอีกครั้ง ผมเคย Unboxing เจ้ากล้อง Rioch GR III ไปเมื่อ 7 เดือนก่อน หลังจากนั้นเป็นต้นมา เจ้า Ricoh GR III ก็หลายเป็นกล้องที่ผมพกไปไหน มาไหนด้วยสม่ำเสมอแทบจะทุกวันถ้าออกไปถ่ายรูปหรือท่องเที่ยว วันนี้จึงอยากมารีวิว ข้อดีข้อเสีย ของกล้องตัวนี้ให้ฟังกันครับ
ผมเป็นแฟนกล้อง Ricoh GR มาตั้งแต่รุ่นแรกๆ เคยใช้กล้องฟิล์ม Ricoh GR มาครบทั้ง 3 รุ่นตั้งแต่ GR1 , GR1s และ GR1v เคยให้สัมภาษณ์ไว้เกี่ยวกับกล้องฟิล์มตระกูล GR1 ด้วย ตามไปอ่านได้ที่นี่
กล้อง Ricoh GR III ตัวนี้มาพร้อมกับเลนส์ระยะเดียว (fixed) เทียบเท่ากับระยะ 28mm ซึ่งระยะเดียวกับ กล้องของ iPhone กล้องมีหน้าจอระบบสัมผัส การใช้งานแทบทุกอย่างมีความคล้ายคลึงกับการถ่ายภาพด้วยมือถืออย่างมาก นั่นหมายความว่า ต่อให้คนที่ไม่เคยถ่ายรูปด้วยกล้อง Digital หรือมีความรู้เรื่องกล้องมาก่อน ก็สามารถใช้งานกล้องตัวนี้ได้ง่าย แต่แน่นอนว่ามีอะไรมากกว่านั้น เพราะเจ้ากล้อง Ricoh GR III ให้คุณสามารถควบคุมการถ่ายภาพได้มากกว่ามือถือ และยังให้คุณภาพของภาพถ่าย รวมถึง dynamic range ดีกว่าอยู่มาก
1. ขนาด
เนื่องจาก Ricoh GR III นั้นมีขนาดกระทัดรัดเพียงแค่ประมาณฝ่ามือสามารถพกใส่กระเป๋าเสื้อ หรือกระเป๋า jacket ได้อย่างสบาย จึงสามารถจับ ถือ และถ่ายภาพได้ด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว ด้วยขนาดเล็กกระทัดรัดจึงทำให้เจ้า Ricoh GR III เป็นกล้องที่ผมพกติดตัวไปด้วยเกือบทุกครั้งที่ออกจากบ้าน โดยเฉพาะเวลาที่เราออกไปถ่ายรูปด้วยกล้องตัวอื่น ไม่ว่าจะกล้องฟิล์ม Medium Format หรือ DSLR ผมก็จะพกกล้องตัวนี้ไปด้วย ซึ่งเจ้า Ricoh GR III นั้นมีน้ำหนักเบา เล็ก และสะดวกกว่าการที่จะต้องพกเลนส์ระยะ 28mm ไปด้วยอีกตัว และต้องคอยสลับสับเปลี่ยน เนื่องจากกล้องมีขนาดเล็ก และไว ทำให้ผมมีโอกาสได้ภาพที่ไม่คาดคิดจากกล้องตัวนี้หลายต่อหลายครั้ง เพราะจากตอนที่เราเห็นจังหวะได้ภาพที่ดี จนถึงขั้นตอนหยิบกล้องออกจากกระเป๋า ไปจนถึงกดถ่ายนั้น ใช้เวลาน้อยมากๆ
2. คุณภาพของภาพถ่าย
ครั้งแรกที่ผมได้กล้องมาผมก็ลองเอาไปเดินถ่ายตามปกติ ดูภาพจากหลังกล้องบ้างแต่ก็ยังไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไร กล้องตัวเล็กจอหลังไม่ได้ละเอียดมากมายนัก แต่พอได้เอามาต่อลงคอมหรือโหลดลงมือถือเท่านั้นแหละ เริ่มเห็นความแตกต่าง แน่นอนว่าภาพจากเลนส์ของ Ricoh GR III นั้นมีความคมชัด และสวยถูกใจมี Dynamic Range ที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อนอย่าง GR II ด้านในของกล้องขนาดเล็กตัวนี้ประกอบไปด้วย 24-Megapixel APS-C Sensor ขนาดประมาณ 1นิ้ว ขนาดเดียวกับ Mirorless ที่เปลี่ยนเลนส์ได้อย่างกล้อง Sony A6400 และมีระบบกันสั่น 3 แกนช่วยให้เราได้ภาพที่นิ่งขึ้นด้วย
3. ปุ่ม และ การควบคุม
กล้องตัวนี้ได้วางระบบการควบคุมไว้ดีมาก โดยที่คุณสามารถใช้มือเดียวควบคุมได้ทั้งหมดตั้งแต่การถ่าย ยันการดูภาพ นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งฟังชั่นต่างๆของปุ่มด้านหลังเองได้ทั้งหมด เพียงแค่ใช้มือขวาเพียงมือเดียวตรงนี้ผมชอบมาก ผมเลือกที่จะใช้ปุ่มต่างๆ ผสมกับ touch screen ทำให้การใช้งานสะดวกมากขึ้นด้วยครับ
4. ชาร์จแบตได้ผ่าน USB-C
เนื่องจากกล้องตัวนี้มีขนาดเล็กกระทัดรัด แบตเตอรี่เลยไม่ได้จุมากนัก ฝรั่งบอกถ่ายได้ประมาณ 300 ภาพ โดยที่ผมได้เอาไปลองเดินถ่าย ประมาณ 100-200 ภาพต่อเนื่อง ( Raw + JPG) เครื่องก็เริ่มร้อน แบตเตอร์รี่ก็เริ่มใกล้จะหมด แต่ก็ยังสามารถต่อสายชาร์จผ่าน External Battery ได้ ทำให้เราสามารถเรียกกำลังของแบตกลับมาได้สะดวกโดยไม่ต้องง้อที่ชาร์จแบต แถมแทบทุกคนก็พก External Battery กันอยู่แล้วด้วย ตรงนี้เลยสะดวกมากเลยทีเดียว
5. Color Profile Simulation
นอกจากการที่เราจะถ่ายภาพสีทั่วไปแล้ว กล้องยังมีฟังชั่นพิเศษที่ให้เราสามารถเลือก Color Profile Simulation หรือค่าจำลองสี เพื่อให้จอแสดงสีสันตาม Color Profile ตามที่เราเลือกในขณะที่เล็งเลย ทางกล้อง Ricoh GR III มี Color Profile ให้เลือกใช้มากมาย ตั้งแต่สีสันที่เหมือนฟิล์มอย่าง Color Negative , Vivid, Bleach Bypass, Retro, HDR แถมยังมีขาวดำ ให้เลือกหลายโทน และยังสามารถเข้าไป Edit เพิ่มเติมของแต่ละ Color Profile เพื่อสร้าง Custom Color Profile ส่วนตัวให้เป็นสไตล์ของตัวเองได้ นอกจากนี้แล้ว ยังสามารถถ่ายสีปกติก่อนและมาก่อน Edit เพิ่ม ค่าสี Color Profile เอาทีหลัง ตอนดูภาพ หรือขั้นตอน Preview ภาพได้ด้วย แต่งภาพหลังกล้อง อัฟโหลดผ่าน Wifi ลงมือถือ และโพสต์ลง Social Media ได้เลย ง่ายมาก
6. Snap Mode
Snap Mode เป็นโหมดในการถ่ายภาพอย่างรวดเร็ว ตามระยะ focus ที่เราตั้งไว้ แบบที่ไม่ต้องมาทำการ auto focus ก่อน จึงทำให้จับภาพได้ไวมาก ฟังชั่นนี้คล้ายๆกับการทำ Zone Focusing หรือ Hyper Focal จากกล้องยุคเก่าที่เลนส์เป็นระบบ Manual Focus โดยการจะตั้งระยะ Focus ไว้ล่วงหน้า ยกตัวอย่างที่ 1 เมตร เมื่อไรที่เรากดปุ่ม shutter ลงไป กล้องจะจับภาพด้วยความเร็วไปที่ระยะที่ 1 เมตรหรือระยะเราตั้งไว้ทันที การถ่ายด้วยโหมดนี้หรือภาพสไตล์นี้เหมาะสำหรับสาย street photography ที่ชอบความไวเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าเราใช้ร่วมกับการคุมค่า F Stop ด้วยแล้ว ทำให้เราสามารถคุมระยะ focus ของภาพที่เราถ่ายได้อย่างสนุกแน่นอน โหมด Snap นี้มีมาพร้อมกับกล้อง Ricoh GR1 กล้องฟิล์มยุค 90’s และยังคงอยู่มาจนถึงกล้องรุ่นปัจจุบันอย่าง GR III
7. ความเงียบ
นอกจากจะเล็ก เบา กล้องยังสามารถ focus ไปจนถึงถ่ายภาพได้อย่างเงียบสุดๆ เราสามารถเลือกที่จะเปิดหรือจะปิดเสียงของกล้อง เสียง shutter ได้ทั้งหมด นอกจากเสียงที่ปิดได้แล้ว เรายังสามารถปิดไฟที่ช่วยในการหา focus รวมถึงปิดไฟบนปุ่ม power ได้จากในเมนู setting ซึ่งทำให้เราไม่ต้องกังวลถ้าเกิดจะต้องแอบใช้กล้องตัวนี้ถ่ายใครสักคนในระหว่างวันที่เราเจอ
ถ้าถามผมว่ากล้องตัวนี้เหมาะกับใคร อาจจะตอบโดยรวมว่าเหมาะกับทุกคน ทั้งมือใหม่ของการถ่ายภาพ และคนที่มีกล้องใหญ่อยู่แล้ว การที่เราพกกล้องตัวเล็กที่ให้เลนส์คมและไฟล์คุณภาพดี รวมถึงฟังชั่นของการถ่าย Macro ควบคู่ไปกับกล้อง Mirrorless หรือ DSLR โดยที่เราไม่ต้องไปเปลี่ยนเลนส์ของกล้องหลัก ทำให้เราถ่ายภาพได้สนุกขึ้นครับ ยิ่งโดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายภาพ street photography ด้วย กล้องตัวนี้ยิ่งเหมาะครับ เพราะความสามารถที่ผมกล่าวไปข้างต้นของ Ricoh GR III มันจะทำให้คุณเพิ่มโอกาสที่จะได้ได้ภาพที่ดีอย่างแน่นอน
ภาพทั้งหมดในบทความนี้ได้ถ่ายด้วยกล้อง Ricoh GR III ทั้งหมดครับ
Comments

There are no comments yet.

Leave a comment